วันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2558

ลาทีปีม้า..สุขหรรษา..รับปีมะแม


ลาทีปีม้า...สุขหรรษา..รับปีมะแม...

           วันเวลาผ่าไป..ไวเหมือนโกหก...ไม่ว่าจะปีเก่าหรือปีใหม่...หรือปีไหนๆ...วันเวลาก็ไม่เคยคอยใคร...ปีนี้ผ่านไป...ปีใหม่ก็ผ่านเข้ามา...เป็นธรรมดาของโลก...เพราะกาลเวลาย่อมกลืนกินทุกสรรพสิ่ง....แม้กระทั้งตัวของกาลเวลาเอง

             ทะว่า..ปีนี้ก็ย่างเข้าปีที่ ๒๙ แล้ว...อายุมากขึ้น..อะไรหลายๆอย่างก็มากตามมา...หลายครั้งก็นั่งครุ่นคิดพิจารณาอยู่เสมอว่า..ชีวิตนี้เราเกิดมาทำไม..และเรากำลังจะดิ้นรนไปเพื่ออะไร???...หลายคนคงคิดอยู่ในใจ..และมีคำตอบสำหรับคำถามนี้ไว้แล้วในใจ
             ไม่ว่าจะเทศกาลไหน...ไล่ตั้งแต่..ปีใหม่...สงกรานต์...เข้าพรรษา...ออกพรรษา...แทบไม่มีโอกาสที่จะได้กลับไปเยี่ยมบ้าน(สถานที่เคยอาศัยตอนเด็กๆและบวชเป็นสามเณร) เหตุเพราะมีอะไรหลายๆอย่างให้ทำให้จัดการ...ทุกครั้งที่ทำอะไรไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่โดยเฉพาะในที่ๆเราได้อยู่ได้อาศัย..โดยเฉพาะรู้คุณข้าวแดงแกงร้อนที่ญาติโยมได้อุปถัมภ์อุปัฎฐาก...รวมถึงครูบาอาจารย์ที่ให้โอกาส...ได้ทำในหลายๆเรื่อง.....
              เคยมีคนถามว่า...จะทำไปทำไม..ทำแล้วได้อะไร...งานเล็กๆน้อยๆ....ต้องทำงานใหญ่สิถึงจะท้าทาย..งานเล็กๆน้อยๆอย่างนี้ปล่อยให้รูปอื่นทำ...สำหรับผมแล้วไม่ว่างานจะเล็กหรือใหญ่ใจต้องมาก่อนและทุกครั้ง..ความตั้งใจมาเป็นที่หนึ่งแม้ว่าจะเป็นงานที่เล็กหรือน้อย...ผมทำด้วยความตั้งใจมาโดยตลอด...และต้องกราบขอบพระคุณทุกๆท่านที่เป็นส่วนหนึ่งแห่งความสำเร็จ....ถือเป็นความภูมิใจเล็กๆที่หลายท่านอาจมองว่าก็แค่นั้น..แต่สำหรับผมๆมองว่าทุกเรื่องเป็นเรื่องที่สำคัญและเราควรให้ความสำคัญ...อย่าเห็นว่าธุระไม่ใช่.....เราบวชมาก็เพื่อลดละ.....เป็นผู้ให้....เพราะยิ่งให้ยิ่งเบา..ยิ่งเอายิ่งหนัก...การอุทิศตนเพื่อสาธารณะและพระพุทธศาสนา....ถือเป็นเป้าหมายที่เราควรทำ...

               วันนี้เราเดินทางมาก็ถือว่าไกลพอควร...แล้วเรายังจะหวลกลับหรือไม่...ให้ใจเป็นผู้ตอบ...สำหรับกระผมเองปีนี้ถือเป็นปีที่ต้องครุ่นคิดเป็นอย่างมากว่าจะเอายังไงกับชีวิตที่เหลืออยู่...พูดอย่างนี้ไม่ใช่จะคิดสั้นหรือย่อท้อต่ออะไรนะครับ...แต่กำลังพิจารณาเห็นว่า..เมื่อถึงเวลาใครก็ช่วยเราไม่ได้...เรานี้แหละที่จะต้องทำ..ด้วยความมุ่งมั่นและอดทนอย่างมาก...กว่าปีเก่าหรือหลายเท่าที่เคยทำมา

                คุณค่าของคนใกล้ชิด...กลัยาณมิตรที่เราเองก็เลือกเองไม่ได้
                ไม่มีงานเลี้ยงใด..ที่จะไม่เลิกลา...หลายครั้งที่เรามีความรู้สึกผูกพันฉันพี่น้อง...กับหลายๆคนที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต..มากบ้าง...น้อยบ้าง...บางครั้งบางทีเราก็ปฎิบัติกับคนเหล่านั้นด้วยท่าทีที่ต่างกันไป...หากมาพินิจพิจารณาดูดีๆแล้ว...ทุกคนที่เราได้รู้จักต่างเป็นกัลยาณมิตร..ชี้ถูก..ชี้ผิด..ว่ากล่าวตักเตือนด้วยความเป็นห่วงเป็นใย...ขอให้เวลาที่อยู่ด้วยกัน..ได้ร่วมงานกัน...จงเป็นเวลาที่ดีที่สุดและปฎิบัติต่อกันด้วยเมตตาเถิด...โกรธเคืองกันบ้าง...ก็เพราะเรายังมีโลภะ..โทสะ..และโมหะ..อยู่เมื่อรู้และได้สติกลับมาจงทำในสิ่งที่ดีมีน้ำใจต่อกัน...เพราะเมื่อเราจากลากันไป..จะย้อนเวลากลับมาแก้ไขเรื่องราวต่างๆได้ยาก...จงเห็นคุณค่าของคนใกล้ชิด...กลัยาณมิตรที่เรากระทำแต่สิ่งที่ดีต่อกันได้....เราจะไม่เสียดายเลยว่าครั้งหนึ่งเราเคยรู้จักกัน....
               สายน้ำเปลี่ยนใจปลา...กาลเวลาเปลี่ยนใจคน
               บางทีการมองโลกในแง่ดีเกินไปก็ทำให้เราต้องพบและประสบกับเรื่องราวที่เราเองก็ไม่อยากให้มันเกิดขึ้น...คนที่เราไว้ใจที่สุด...คือคนที่อันตรายที่สุด...ประโยคนี้เคยแต่ได้ยินได้ฟังมา..กรณีศึกษาพี่ฆ่าน้อง...น้องฆ่าพี่ก็มีให้เห็นเป็นข่าวใหญ่โต...สุภาษิตคำพังเคยที่ว่า ...ไม่ฆ่าน้อง..ไม่ฟ้องนาย...ไม่ขายเพื่อน...คงใช้ได้บ้างในบางโอกาส....ไม่รู้ว่าคนเราทุกวันนี้...ยังจะมีอีกหรือไม่กับประโยคที่ว่า...คนดี...ปีใหม่นี้ก็อยากจะให้เรากลับหวนมาตระหนักถึงหน้าที่ที่ต้องทำ..และอย่าไว่ใจใครมากไปกว่าตัวเราเอง...เพราะอะไรก็เปลี่ยนแปลงไป...ตามกาลเวลาดัง..วลีที่ว่า...สายน้ำเปลี่ยนใจปลา...กาลเวลาเปลี่ยนใจคน
                คิดจะทำการใหญ่...ต้องใจหนักแน่น
                ไม่มีอะไรที่จะสำเร็จได้...ด้วยการอ้อนวอนขอจากเทพเจ้า...หากเรามีความมุมานะ..พากเพียร...อดทน..โดยไม่ย่อท้อต่อความลำบาก...สิ่งที่ว่ายากๆก็สำเร็จได้....ปลูกต้นไม้วันนี้ใช่ว่าจะผลิดอกออกผลในวันรุ่งขึ้น...เรื่องบางเรื่องต้องใช้เวลา...ไม่ว่าจะทำอะไร...เรื่องเล็กหรือใหญ่...ใจต้องเข้มแข็ง....และหนักแน่นไม่หวั่นไหวต่อคำนินทาหรือสรรเสริญ....อย่าท้อถอย...เพราะคนท้อมักจะไม่แท้...และคนที่แท้มักจะไม่ท้อ....และที่สำคัญ...เราควรฝึกฝนและพัฒนาตนเองให้ยิ่งยวดโดยเริ่มต้นจากความมั่นคงทางด้านอารมณ์และจิตใจ..เพราะคิดจะทำการใหญ่ต้องใจหนักแน่น
                  
                 ชีวิตเป็นของเรา...เราเป็นคนเลือก..เราเป็นคนตัดสินใจ
                 เราจะไปบังคับคนทั้งโลกให้คิดและเป็นดั่งใจที่เราปราถนาคงเป็นการยาก...เพราะคนแต่ละคนก็มีความปราถนาที่แตกต่างกันไป...เอาละการเขียนความในใจ...ตามที่ใจมันอยากจะพูด...คงจะไม่ทำให้ใครเสียหาย...ในมุมผู้เขียนๆไม่สนใจว่าใครจะคิดอย่างไร...เพราะเราไม่ใช่นักเขียนระดับซีไรต์......สิ่งใดก็ตามหากเราเป็นคนเลือกด้วยตนเอง...และลงมือกระทำลงไป...ไม่ว่าผลของการกระทำนั้นจะเป็นเช่นไร..ดีเยี่ยม..หรือยอดแย่...สำเร็จ..หรือไม่สำเร็จ..หยุดโทษตัวเอง...หยุดโทษคนอื่น...ขอให้เราจงมีสติและเรียนรู้กับการกระทำนั้นให้มาก...เก็บทุกรายละเอียด...จงภูมิใจและยอมรับกับทุกสิ่งอย่างที่จะเกิดขึ้น..เพราะชีวิตเป็นของเรา...เราเป็นคนเลือก..เราเป็นคนตัดสินใจ


                  หยุดคิดผลัดวัน..ประกันพรุ้ง
                  คิดได้..ทำทันที...อย่าผลัดวันประกันพรุ้ง...หลายครั้งหลายที่ที่เราขี้เกียจ..ผลัดวันประกันพรุ้ง...แทนที่การงานจะสำเร็จ...กลับล่าช้าและพอกพูนเป็นดินพอกหางหมู...หยุดขี้เกียจ..เลิกคิดแบบผลัดวันกระกันพรุ้งหรือมักง่าย..ทำแบบง่ายๆ..สุดท้ายมักจะได้ยากเสมอ...เลิกเสียทีนิสสัยแบบนี้..ให้เราคิดเสมอว่า..เรากำลังทำงานแข่งกับมัจจุราช..เมื่อใดเมื่อมัจจุราชตามทัน...เมื่อนั้นก็ถือว่าจบเกมส์...
                 
                 เป้าหมายมีไว้พุ่งชน
                 ณ...เวลานี้เราอาจจะยังตอบโจทย์ของทุกอย่างไม่ได้หรอกนะว่าทุกอย่างมันคืออะไร...แต่ทุกการกระทำ..ทุกคำพูด..ทุกพันธะสัญญาที่เราให้ไว้..เราจงมุ่งมั่นและจะรับทั้งผิดและชอบต่อเรื่องราวที่เราเป็นคนก่อขึ้น..วันนี้เรามีความตั้งใจดี..และจงทำดีต่อไป..ผิดเป็นครู..อย่าคิดกลัวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น..อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด....คนที่ไม่เคยผิดพลาด...คือคนที่ไม่เคยทำอะไรเลย...ดังนั้น...ทุกคนต่างมีเป้าหมาย..จงเดินหน้าต่อไปแม้หนทางจะอีกยาวไกล....ไปให้ถึงที่สุด..วันนี้..พรุ้งนี้ไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง...ขอให้เราตั้งใจและทำอย่างเต็มที่..ทำอย่างดีที่สุด....
               ปีใหม่...คิดใหม่...ทำใหม่...ตั้งใจใหม่...ไม่มีอะไรสาย...ลาทีปีม้า..สุขหรรษา..ปีมะแม...ไม่มีข้อแม้ตั้งแต่เริ่มต้น...เกิดเป็นคนควรจะพยายามจนกว่าจะประสบความสำเร็จ..เป็นกำลังใจให้กับทุกรูป..ทุกท่าน..ทุกคน..นะครับ...ชีวิตยังไม่สิ้น..ก็ต้องดิ้นกันต่อไปครับ...ปล่อยว่างกับทุกเรื่องราว...เข้าใจกับทุกเหตุการณ์....ขอให้พบพานแต่สิ่งที่ดีๆๆอยู่ให้มีชัย..ไปขอให้มีโชค...ไร้โรคภัยเบียดเบียน...สาธุๆๆ
                                                                                                สวัสดีปีใหม่...๒๕๕๘               
                 
                  
                  

วันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ภาษาสร้างโลกได้จริงหรือ....

คนไม่รู้ภาษา คือ คนหมดท่าไม่เอาไหน...???


พิธีบำเพ็ญกุศลอายุวัฒนมงคล ครบ 7 รอบ 84 ปี

      เมื่อวันที่ 31 ตุลาคมที่ผ่านมา มีโอกาสได้ไปร่วมฉันภัตตาหารเพล ในงานบำเพ็ญกุศลอายุวัฒนมงคล ครบ ๗ รอบ ๘๔ ปี พระเดชพระคุณ พระธรรมสุธี (พีร์  สุชาโต) อธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์, นายกสภามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,ที่ปรึกษาเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร
       เหล่าศิษยานุศิษย์ ตลอดจนถึงอุบาสกอุบาสิกาที่เคารพนบนอบนับถือ ในพระเดชพระคุณต่างมาจากทิศทั้งสี่แนนขนัดทั่ววัดมหาธาตุ แสดงออกถึงคุณงามความดีบารมีธรรมของพระเดชพระคุณท่าน...ผู้เสียสละอุทิศตนเพื่อประโยชน์ต่อมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยและพระพุทธศาสนา ขอให้พระเดชพระคุณมีสุขภาพแข็งแรงครับ
     
   ก่อนกลับมีโอกาสได้ขึ้นไปนมัสการพระบรมศารีริกธาตุ ภายในพระมลฑปด้วย เป็นศิริมงคลแท้ๆๆ

เข้าเรื่องเลยแล้วกันนะขอรับ

        หลังภัตตาหารเพล มีโอกาสได้เดินชมบริเวณสถานที่จัดงาน เห็นผู้คนแน่นขนัดเต็มวัดไปหมด...ไม่รู้จะเดินไปทางไหนดีเลยตัดสินใจเดินออกไปบริเวณด้านข้างพระอุโบสถ...บริเวณวิหารคต ซึ่งบริเวณวิหารคตนี้เองมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่จำนวนมาก เห็นแล้วเกิดปิติว่า พระพุทธเกิดจากแรงศรัทธาของบรรพชนคนไทยในอดีต....คนปัจจุบันอย่างเราท่านเป็นการยากที่จะสร้างได้...
     เดินดูโดยรอบวิหารคตแล้วพระพุทธรูป....ปูนปั้นมีราวๆเป็นร้อยน่าจะได้...นึกๆดูพระพุทธรูปองค์หนึ่งพอๆกับพระประธานในโบสถ์หลายๆวัดได้....
     หลังจากเดินพ้นวิหารคตออกมาด้านนอกก่อนออกสนามหลวง...มีตึกแถวขนาดใหญ่ทำให้ผู้เขียนนึกถึงคำพูดของครูบาอาจารย์ที่ว่า "ตึกนี้ชื่อตึกแดง"  ซึ่งเป็นตึกที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น เพื่อให้เป็นที่เล่าเรียนของพระสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย หลังจากที่ได้โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งมหาธาตุวิทยาลัยขึ้น ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2432 
ประจวบกับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จสวรรคตเมื่อปีพ.ศ.2437 โดยพระราชประเพณีจะต้องสร้างพระเมรุมาศตามพระเกียรติยศขึ้นที่ท้องสนามหลวง ทรงมีพระราชดำริว่า เป็นการสิ้นเปลืองพระราชทรัพย์ในการสร้างสิ่งที่ไม่ได้เป็นถาวรวัตถุ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เป็นผู้อำนวยการสร้างอาคารตึกถาวรวัตถุขึ้น เพื่อเป็นที่อัญเชิญพระบรมศพสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร มาประดิษฐานบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุประทาน เมื่อการบำเพ็ญพระราชกุศลนั้นแล้วได้ถวายอาคารนี้ให้สำหรับมหาธาตุวิทยาลัย
      สมัยที่ผู้เขียนเรียนอยู่ที่มหาจุฬาฯ อาจารย์หลายท่านได้เล่าให้ฟังถึงประวัติของตึกนี้ว่าสมัยก่อนครูบาอาจารย์ใช้ตึกแดงเป็นสถานที่ศึกษาของพระนิสิตมหาจุฬาในยุคแรกๆ
    ในยุคแรกนี้เห็นครูบาอาจารย์เล่าให้ฟังว่า มหาจุฬาฯ ยังไม่รับรองวิทยฐานะ ผู้ที่จบการศึกษาจากมหาจุฬาฯ ถือว่าได้รับปริญญาเถื่อน หลายรูปที่จบการศึกษาจากที่นี่จึงต้องดั้นด้นไปเรียนต่อยังต่างประเทศ...จุดหมายปลายทาง คือ ประเทศอินเดีย
(ภาพพิธีประสาทปริญญาบัตร มจร. ครั้งที่ 1 จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ถวายพัดปริญญาแก่เจ้าประคุณสมเด็จสังฆนายก เพื่อประทานแก่บัณฑิตมหาจุฬารุ่นแรก)
       นอกจากไม่รับรองวิทยฐานะแล้ว การจัดการศึกษาของมหาวิทยาลัยยังขาดงบประมาณในการบริหารจัดการ ครูบาอาจารย์ยังเคยเล่าให้ฟังอีกว่า ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ของมหาวิทยาลัยได้มาจากการทอดผ้าป่า...เป็นหลัก...ภายหลังกรมศิลปกรได้ทักท้วงถึงกรรมสิทธิ์ในตึกแดง(เรื่องยาวไปหาข้อมูลดูเองนะขอรับ) ชาวมหาจุฬาได้ใช้ลานอโศกเป็นสถานที่ชุมนุมเรียกร้องความชอบธรรมในตึกแดงแห่งนี้ ประวัติมหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯนั้นมีความเป็นมาอย่างน่าสนใจเป็นอย่างมาก "เพราะไม่ง่ายเลยกว่าจะมีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย" ในวันนี้ได้ 
    
        ผู้เขียนเคยฟังหลายๆคนพูดว่า  มหาจุฬาฯใครเดินผ่านก็จบ...หลายคนบอกว่าเรียนมหาจุฬาเรียนที่อื่นดีกว่า...แต่ผู้เขียนอยากบอกว่านอกจากมหาจุฬาจะเป็นมหาวิทยาลัยของคณะสงฆ์ไทยแล้ว ผู้จบจากมหาจุฬาส่วนใหญ่ไม่ตกต่ำ และออกไปบำเพ็ญประโยชน์ต่อประเทศชาติพระศาสนาล้วนจบมหาจุฬาแทบทั้งนั้น เพราะเราชาวมหาจุฬาเราถือว่ามีเลือดสีชมพู นิสิตมหาจุฬาฯ ทุกรูปล้วนอุทิศตนเพื่อพระพุทศาสนา ถึงแม้ว่าปัจจุบันกาลเวลาเปลี่ยนไป แต่จิตใจและอุดมการณ์มิเคยเปลี่ยน (ไม่มีมหาจุฬาฯไม่มีเราในวันนี้) 
          หลังจากเดินผ่านตึกแดงได้ระลึกนึกถึงคำกล่าวขานของตำนานตึกนี้ได้ไม่นาน ก็ก้าวขาผ่านประตูรั่ว เห็นรถวิ่งขวักไขว่ไปมา เบื้องหน้าคือสนามหลวง มองไปมองมามองหารถกลับวัด ทันใดเจอแท็กซี่ว่างวิ่งมาพอดี  ผู้เขียนเจรจากับสารถี โยมไปวัดทองธรรมชาติ คลองสาน โยมบอก  นิมนต์หลวงพี่  นั่งรถได้สักพักยังไม่ทันหายเหนื่อยโยมทักว่า "หลวงพี่ บวชมานานหรือยังมาทำไรที่สนนามหลวง" ผู้เขียนตอบ "บวชมาก็นานหลายปีเหมือนกันโยม" โยมถามต่อว่า "บวชมาเรียนจบอะไรแล้ว" ตอบโยมไปว่า บาลีก็เรียนอยู่ ทางโลกก็เรียน "แล้วจะเรียนต่อไหมตามที่ได้ตั้งใจไว้" ตอบโยมว่า "ก็กำลังจะเรียนต่อ แต่มีปัญหาที่ภาษาไม่แข็งแรง" โยมตอบว่า "คนไม่รู้ภาษา คือคนหมดท่าไม่เอาไหน ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ" ผู้เขียนถึงกับนั่งอึ้งไปสักพัก แล้วก็เลยถามกลับไปอีกว่า ยังไงนะโยมช่วยอธิบายขยายความด้วย โยมตอบว่า "หลวงพี่ คนเราต้องรู้ภาษา คนไม่รู้ภาษา คือคนหมดท่า ไม่เข้าท่า ไม่เอาไหน ทำอะไรก็ไม่รู้เรื่องไม่เอาไหน" ผู้เขียนนึกในใจ มันคนละภาษาหรือป่าวโยม 
       โยมเหมือนจะเดาใจออก  โยมพูดต่อว่า "หลวงพี่  คนเราจะทำอะไรให้เข้าท่า และสำเร็จ ต้องรู้ภาษา หลวงพี่จะเรียนอะไรก็ต้องรู้ภาษา เก่งภาษา หลวงพี่จึงจะประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษ หรือ ภาษาบาลี รูปที่เรียนบาลีจบประโยค ๙ เป็นพระที่รู้ภาษา เป็นพระที่มีท่า มีเชิง พูดอะไรใครเขาก็เชื่อ พูดมีน้ำหนัก ภาษาอังกฤษ ก็เหมือนกัน คนที่พูดไม่ได้ เหตุเพราะไม่รู้ภาษา คือคนไม่เข้าท่า ไม่เอาไหน"
       นึกๆไปก็คงจะจริงของโยมเขา  มาถึงวันนี้ จุดนี้ ตรงนี้ ผู้เขียนเห็นว่า อย่าปล่อยให้ภาษา (อังกฤษ) มาเป็นอุปสรรคต่อการศึกษา หรือการใช้ชีวิตอีกต่อไปเลย ยิ่งใกล้ถึงช่วงที่ชีวิตต้องถึงจุดเปลี่ยนในอีกไม่ช้านี้ ยิ่งต้องมีความเพียรพยายาม มุมานะ พากเพียรบากบั่น ให้มาก และผู้เขียนก็ต้องขออุโมทนา กับ Dr.Dhirawit P.Natthagarn,ท่านต๋อง ที่จุดไฟในตัวของข้าพเจ้าให้มีแรงฮึดสู้กับภาษาอังกษฤ อีกครั้ง.....เพราะคนไม่รู้ภาษา คือคนหมดท่าไม่เอาไหน.....
       ป.ล.อยากให้ทุกท่านรักในการเรียน และพากเพียรจนกว่าจะประสบความสำเร็จ..โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ และผู้เขียนเองจะใช้เวลาต่อจากนี้ไปทุ่มเทให้กับภาษาอังกฤษ...........อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน....แล้วเจอกัน...JAWAHARLALNEHRU UNIVERSITY , NEW DELHI , INDIA  
          (หากเราคิดอยากจะทำอะไร...ขอให้เรากล้าที่จะประกาศว่าจะทำมัน...แล้วลงมือทำด้วยการมีสัจจะต่อคำพูดที่เราประกาศ...รับผิดชอบต่อคำพูด.....ทุกอย่างที่เราประกาศ-พูด-ลงมือทำ-ผลลัพธ์ หรือ ความแตกต่างจะเกิดขึ้น นี่แหละที่ว่าภาษาสร้างโลก...ขอแค่กล้า....ไม่มีอะไรที่เราจะทำไม่ได้ในโลกนี้...ครับ)

วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2557

คิดอะไรทำไมถึงไปเรียน Landmark...

คิดอะไรทำไมถึงไปเรียน Landmark...

 

5 เหตุผลที่ผมยอมไป Landmark

ต้องขอออกตัวก่อนเลยนะขอรับว่า ผู้เขียนได้มีโอกาสอ่านบทความของพระอาจารย์พระมหาประสิทธิ์  ญาณปฺปทีโป ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของกระผมเองถึงแม้ว่าช่วงหลังๆจะไม่ได้มีเวลาพบเจอพระอาจารย์ แต่ก็ติดตามผลงานพระอาจารย์ท่านตลอด  ล่าสุดพระอาจารย์ได้แสดงความคิดเห็นในประเด็นหัวข้อ "5 เหตุผลที่ไม่ยอมไปแลนด์มาร์ค" ทาง blogspot (http://prasit009.blogspot.com/2014/10/5.html?spref=fb) อ่านแล้ว เห็นด้วยกับพระอาจารย์ที่ได้สื่อสารอย่างตรงไปตรงมาครับ
ผู้เขียนปกติก็ไม่ชอบเขียนอะไรที่เป็นกิจจะลักษณะ ไม่มีงานเขียนเป็นชิ้นเป็นอัน....ไม่มีแฟนคลับเป็นของตัวเองหรอกนะครับ แต่ด้วยได้ฟังการสื่อสารจากกัลยาณมิตรทั้งหลาย...จบลงท้ายด้วยความห่วงใย...เลยไม่รู้จะอธิบายยังไง...ให้เข้าใจได้ว่าแท้จริงแล้ว Landmark คืออะไร ???
1.ไม่ต่างอะไรกับการอบรมทั่วไป
            แรกเริ่มเดิมที ได้ยินคำว่า Landmark จากพระอาจารย์กลุ่มใต้ร่มพุทธธรรม..เพราะเคยได้ฟังมาว่าพระอาจารย์ที่เป็นพระธรรมวิทยากรของกลุ่มใต้ร่มพุทธธรรมล้วนผ่านการศึกษาหลักสูตร Landmark มาก่อน...ยิ่งไปกว่านั้น เห็นพระวิทยากรกลุ่มเพื่อชีวิตดีงามหลายรูปก็เริ่มสนใจและไปศึกษา Landmark กันหลายรูป ไม่ว่าจะเป็นพระอาจารย์กาจญ์ พระอาจารย์นกเอี้ยง และพระอาจารย์นนท์ ผู้เขียนสังเกตเห็นบางอย่างของพระอาจารย์ทั้ง 3 รูปเปลี่ยนไป...พระอาจารย์เปลี้ยนไปๆๆ..คือ เริ่มคุยกับพระอาจารย์ไม่รู้เรื่อง....ไม่รู้ว่าพระอาจารย์คุยไม่รู้เรื่อง...หรือเราฟังไม่เข้าใจ...เอาเป็นว่า...งง...ก็แล้วกันครับ...แต่สิ่งที่สัมผัสได้คือพลังและแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงใจเวลาได้สนทนากับท่าน...และรู้สึกว่าท่านจะอารมดีผิดปกติ...ยิ้มตลอดเวลา    ผู้เขียนก็มานั่งนึกว่าแอ๊ะ...Landmark เขาปลูกฝังแนวคิดอะไรให้พระอาจารย์นะ..ทำไมถึงได้เปลี่ยนไปได้ขนาดนี้...เกิดคำถามขึ้นในใจ...และคิดไว้ว่าถ้ามีโอกาสจะขอเข้าไปลองฟังดูสักครั้ง....ก่อนหน้านี้พระอาจารย์กาจญ์ท่านก็ชวนหลายครั้งแต่ก็มีหลายสิ่งที่ต้องทำให้อดไป Landmark นั่นคือ เราสร้างเหตุผลมารองรับความชอบธรรมทางความคิดของตัวเราเองปิดกั้นตัวเองจากสิ่งที่เราก็ยังไม่รู้ว่า Landmark คืออะไร ในคราวประชุมประจำเดือนของกลุ่มผู้บริหารกลุ่มเพื่อชีวิตดีงาม ได้มีโอกาสสนทนากับพระอาจารย์กาจญ์ และท่านก็ชวนเป็นรอบที่สอง กลับมาถึงวัดก็มานั่งนึกคนเดียวว่า..ทำไม...อะไร..นะ กับการศึกษานี้ ผู้เขียนตัดสินใจไปเพียงเพราะคำพูดของพระอาจารย์ท่านที่ว่า "ลองอนุญาตให้ตนเองได้รับการศึกษานี้ดูนะ" 23 มีนาคม 2557 เป็นครั้งแรกกับการรับฟังแนวทางการศึกษา Landmark หลักจากจบบทสนทนาผู้เขียนก็มีความเห็นว่า ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากที่เรารู้หรือเข้าใจอยู่แล้วและไม่เห็นความจำเป็นว่าต้องเข้ารับการศึกษา ก่อนกลับพระอาจารย์กาจญ์ท่านถามว่า เป็นไง สนใจไหม ผู้เขียนตอบท่านไปว่ายังไม่พร้อมครับ ท่านก็เลยถามต่อว่าติดขัดเรื่องอะไร...ในใจเราก็คิดว่าค่าเรียนตั้ง 18,000 บาท คงเป็นเหตุผลที่ดีเพราะถ้าตอบว่าไม่มีเงินลงทะเบียนเรียนทุกอย่างก็คงจบ...ท่านถามต่อว่าเรื่องค่าใช้จ่ายใช่ไหม..?(เหมือนจะเดาใจเราออก).ไม่เป็นไรผมจะยืนให้ท่านนะพระอาจารย์กานญ์กล่าว... สุดท้ายก็ได้มีโอกาสได้ลองศึกษา ในหลักสูตรแรก คือ The Landmark  Forum, ต่อด้วย The Landmark  Forum in Action, The Landmark   Advanced Course  และหลักสูตรสุดท้ายที่กำลังจะลงในปลายเดือนธันวาคม คือ Introduction Leaders Program หรือ ILP23 ซึ่งใช้เวลาศึกษา กว่า 6 เดือน (อยู่ในระหว่างการพิจารณา)
ประเด็นอยู่ที่ว่าไม่ต่างอะไรกับการอบอมทั่วไป ในความที่ไม่ต่างมันมีความต่างซ่อนอยู่ เหมือนกับเราบอกว่า ไม่มีอะไรในความว่าง แต่ในความว่างมันยังมีอากาศซ่อนอยู่ คนที่พร้อมก็ย่อมจะได้อะไรเยอะกว่าคนที่ไม่พร้อม ถูกของพระอาจารย์ คนที่ไม่พร้อมต่างก็มีเหตุผลต่างๆของความไม่พร้อม การจะพัฒนาตนเองและดึกเอาศักยภาพของตนเองออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่ ถามว่าเราจะทำอย่างไรละให้เราพร้อม เราก็ต้องฝึกฝนและพัฒนาตนเอง...หากเราปล่อยให้ความไม่พร้อมมาเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาตนเอง... ถามว่าแล้วเมื่อไหร่ละเราจะพร้อม...???
การอบรมวัดด้วยความรู้สึกส่วนตัว  การอบรมทุกหลักสูตรล้วนมีเป้าประสงค์ที่ต้องการให้ผู้เข้ารับการอบรมได้รับความรู้และความเข้าใจ ได้ผลลัพธ์ ตามหลักสูตรนั้นๆ อันจะเป็นประโยชน์ทั้งต่อผู้เข้ารับการอบรมเอง  ต่อหน่วยงาน สังคม และเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติได้ สำคัญที่ว่าจะอบรมเรื่องอะไร ผลลัพธ์ที่ได้จะวัดแค่ความรู้สึกส่วนตัวเพียงอย่างเดียวคงไม่พอ เพราะความรู้สึกส่วนตัวของแต่ละคนวัดได้ยาก และก็ไม่รู้จะเอาอะไรมาเป็นตัวชี้วัดความรู้สึกของคน  หากแต่ต้องพิจารณาถึงผลลัพธ์ที่ได้หลังจากผ่านการอบรมไปแล้วว่า ผู้ผ่านการอบรมสร้างผลลัพธ์ใหม่อะไรบ้างหรือไม่ คุ้มค่าหรือไม่กับทรัพยากรที่ต้องเสียไป หากพิจารณาไตรตรองให้ดีการศึกษา Landmark ถือเป็นหลักสูตรการศึกษาที่จะช่วยพัฒนาตนเองได้ดีหลักสูตรหนึ่งครับ

2.ไม่ต่างอะไรกับการอ่านหนังสือ  How  to  
หนังสือถือเป็นคลังของความรู้ เป็นคลังของปัญญา ผู้รู้ นักปราชญ์ ทั้งหลายต่างก็ได้บันทึกความรู้ไว้เป็นลายลักษณ์อักษร อนุชนคนรุ่นหลังเกิดไม่ทันผู้รู้ นักปราชญ์ทั้งหลายก็ได้อาศัยบันทึกของท่านนี้แหละเป็นเสมือนเข็มทิศนำทางได้ ในระดับหนึ่ง แต่ก็มีผู้เขียนอีกมามายเช่นกันที่ พยายามสรรสร้างแนวคิดของตนเองมาถ่ายทอดในรูปแบบหนังสือเพื่อสื่อสารให้ผู้อ่านคล้อยตามแนวคิดของตน  แต่ใช่ว่าจะได้ผลตามที่ตนต้องการเสมอไป
การศึกษาหลักสูตร Landmark ไม่ต่างอะไรกับการอ่านหนังสือ  How  to   ผู้เขียนมีความเห็นว่าในความคิดที่ว่าไม่ต่างนั่นแหละ มันมีความต่างซ่อนอยู่ “การฟังจากปากของท่าน ก็ย่อมต่างจากการอ่านหนังสือของท่าน” แล้วในระดับหนึ่ง ผู้อ่าน  เหมือนได้เติมพลังชีวิต  ทุก ๆ ครั้งที่อ่านจบแต่ละเล่ม   หัวใจจะปราโมทย์  ปีติ  อิ่มเอมใจ  ศรัทธาต่อชีวิต  ปลุกพลังแห่งความหวังขึ้น  กระทั้งคิดว่า   ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้เลย  ในชีวิตนี้ ก็ถูกของพระอาจารย์อีกนั่นแหละ  หากแต่ว่าความเป็นไปได้ หรือความเป็นไปไม่ได้ มันก็มาคู่กันเสมอ เหมือนโลกธรรม 8 ที่ ลาภยศ ก็มาคู่กับความเสื่อมลาภยศ ความทุกข์  ก็มาคู่กับความสุข คำสรรเสริญเยินยอ ก็มาพร้อมกับคำติฉินนินทา เป็นธรรมดาของโลกมนุษย์ละครับ เฉกเช่นเดียวกับความเป็นไปได้ ก็อาจจะมาพร้อมกับความเป็นไปไม่ได้ด้วยเช่นกัน....สำคัญอยู่ที่ว่าเราจะรู้เท่าทันและอยู่กับมันอย่างไม่ยินดียินร้ายได้อย่างไร....คือไม่สุขไม่ทุกข์ใจไปตามสภาวะที่มันเปลี่ยนแปลงไป...ตามหลักไตรลักษณ์นั่นเอง...
จิตมีหน้าที่รับรู้อารมณ์ เมื่อคนเราไม่รู้เท่าทันจิตใจของตนปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล หรือความเป็นจริง...ประมาทขาดสติจนแยกแยะไม่ออกว่าอะไรคืออะไร ให้ความสำคัญกับสิ่งที่ชอบมากเกินไป หรือให้ความสำคัญกับสิ่งที่ไม่ปรารถนาน้อยกว่า...เมื่อไม่ได้ดังใจในเรื่องที่คาดหวังไว้...ทำใจไม่ได้...ความทุกข์ก็สามารถเกิดขึ้นได้ตลอด... Landmark ให้เครื่องมือที่สำคัญที่จะทำให้เราใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้...เครื่องมือ Landmark ไม่ขัดแย้งกับหลักธรรมคำสอนในทางพระพุทธศาสนา เลยแม้แต่น้อย....(หากผู้ที่ศึกษาพระพุทธศาสนามา...เมื่อได้รับฟังเครื่องมือของ Landmark จะทำให้เราเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าได้รวดเร็วขึ้นด้วยซ้ำไป)เพราะเครื่องมือต่างๆ ไม่เกี่ยวกับความดี หรือความไม่ดี  ไม่เกี่ยวกับศีลธรรม หรือ คุณธรรม จริยธรรม แต่เป็นเครื่องมือ แค่เครื่องมือที่ใช้ในการแยกแยะจริงๆครับ....ไม่เข้าใจก็งง....ต่อไปนะครับ

3.  สิ่งที่มองเห็นชัดที่สุดในแลนด์มาร์ค 

หากจะให้นิยามว่า Landmark เป็นธุรกิจหรือไม่ คนทั่วไปที่ไม่รู้จัก Landmark ก็ต้องบอกว่า Landmark เป็นธุรกิจ ผู้เขียนเองก็ยังมองว่า Landmark เป็นธุรกิจในตอนแรกแต่พอได้เข้าไปศึกษาก็พบว่า มันไม่ใช่อย่างที่คิด 100 %  หากเรามองว่าการจ่ายเงินเพื่อแลกกับการศึกษาแนวคิดบางแนวคิดมันเป็นเรื่องธุรกิจ แล้วการศึกษาในมหาวิทยาลัย ทั้งของรัฐและเอกชนที่ต้องจ่ายค่าเล่าเรียนในหลักสูตรตั้งแต่ระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก หลักสูตรละหลายแสนบางหลักสูตรค่าใช้จ่ายสูงถึงหลักล้านก็มี   การศึกษาที่ต้องจ่ายแพงขนาดนี้เราจะเรียกว่า  “ธุรกิจการศึกษา ได้หรือไม่....???” การศึกษาคือการลงทุน....ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง.....นะขอรับ...
การทำธุรกิจ....ถือเป็นเรื่องปกติทั่วไป..ที่ต้องพูดถึงเรื่องกำไรขาดทุน...หากคนเราไม่ตามกระแสแห่งโลกทุนนิยม..มากเกินพอดี... คือไม่มีตัณหา(โลภะ โทสะ โมหะ) มาก....เอากำไรแต่พองาม...ผลิตเท่าที่จำเป็นไม่เบียดเบียนโลก-ธรรมชาติมากไป...ปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรและปัญหาสิ่งแวดล้อมต่างๆก็คงลดลงได้เยอะ.... การที่คนเราทำธุรกิจ..แบบเห็นแก่เอาเห็นแก่ได้...ละโมบโลภมาก...ขาดสติ..ดิ้นรนผลิตสินค้าและบริการเพื่อสนองตอบต่อความต้องการ(กิเสส) อย่างไม่มีขอบเขต...เพียงเพราะให้ความสำคัญกับเงิน..ว่าเงินเป็นพระเจ้า..มีเงินคือมีทุกอย่าง..จึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อหาเงินมาซื้อความสุข...บำรุงบำเรอตน..โดยไม่สนถึงผลกระทบต่างๆที่จะตามมา...ถือเป็นความสุขแบบโลกิยะ....เป็นความสุขประเดี๋ยวประด๋าว...ไม่จีรังยังยืนอะไร
ทุกการลงทุน ก็ต้องมีต้นทุนๆที่เราเรียกว่าทรัพยากรนี้แหละ จะ 3M-4M- ก็ว่ากันไป...ทำอะไรละที่ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายแม้กระทั้งการทำบุญสร้างวัดสร้างวา...การจัดสร้างวัตถุมงคลต่างๆสักอย่างก็มีต้นทุนแทบทั้งนั้น การศึกษา Landmark ในแต่ละครั้งก็เช่นเดียวกันผู้จัดงานก็ต้องมีงบประมาณเพื่อใช้ในการดำเนินงาน...ถามว่า...เขาจะได้กำไรไหม...???...ก็ต้องตอบว่า..ได้แน่นอนละขอรับ..เพราะหากจัดงานแล้วขาดทุนคงไม่มีใครเขาทำกัน แม้แต่องค์กรการกุศลที่ไม่แสวงหาผลกำไร..จัดงานคราใด..ขาดทุนเขาก็คงไม่จัด....
แล้วการลงทุนในการศึกษา Landmark ด้วยการจ่ายเงินเพื่อเข้าไปฟังอะไรที่ยังไม่รู้มาก่อนนี้ละ...จะเสี่ยงดีไหม..คุ้มค่าหรือเปล่า...ก็ต้องตอบได้คำเดียวว่า.. “หากเราพอใจในสินค้าและบริการ...เราก็ยอมจ่ายไป”ก็เท่านั้นละขอรับ...เพราะทุกวันนี้เราก็ยอมจ่ายเงินที่ดิ้นรนหามาได้ก็เพราะความพึงพอใจด้วยกันทั้งนั้น...แต่สินค้าที่หลายคนอาจมองว่าแสวงหาผลประโยชน์(หากิน)บนความเชื่อของคน...จนทำให้คนหลายคนมองว่า..คนที่เข้า Landmark นั้นยอมขายจิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์ปล่อยให้ Landmark ครอบงำความคิดขาดอิสระ ไม่เป็นตัวของตัวเอง...ไหม..(คงไม่น่ากลัวถึงขนาดนั้น)....เอาเป็นว่าถ้าสนใจแล้วไม่ติดขัดเรื่องปัจจัย..หรือมีคนถวายให้ได้เข้าศึกษา...ก็ลองเข้าไปฟังการศึกษาแนวนี้ดูครับ...สิ่งไหนเป็นประโยชน์ก็นำมาใช้..สิ่งไหนไร้สาละก็ปล่อยทิ้งไป...แต่ปัจจัย Landmark ไม่คืนนะขอรับ ไม่พอใจในสินค้าและบริการ ไม่มียินดีคืนเงิน.....
4.เสียดายตัวตนไหม....???  
ยิ่งเรียนรู้ยิ่งละความเป็นตัวตนลงได้ ความเป็นตัวตนใช่ใครเขาจะมากำหนดเราได้ แต่อยู่ที่เรานี้แหละเป็นคนสร้างตัวตนเราขึ้นมา แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าตัวตนของเราเป็นอย่างไร น้อยคนนักที่จะรู้  หากเราพิจารณาให้ดีๆจะเห็นได้ว่า กว่าที่เราดำเนินชีวิตมาถึง ณ จุดๆนี้ เราคิด และตัดสินใจทำอะไรลงไปบนพื้นฐานของอะไร “ความคิด ความรู้ จินตนาการ และการพัฒนาตน life,idea,knowledge,imagination,development ไงละ....เพราะการที่ผู้คนประสบความสำเร็จในการใช้ชีวิตต่างกัน ทำ พูด คิด ต่างกันและมีความสุขต่างกัน ก็มาจาก สัญชาติญาณ  ตรรกะ  เหตุผล  ทัศนคติ(Attitude) ความเชื่อ (belief) ค่านิยม(value) และอื่นๆอีกมากมายนี้แหละ ที่หลอมรวมเป็นองค์ความรู้(knowledge) ที่มีอยู่ในตัวตนของคนเรา ทำให้เรามองโลก และใช้ชีวิตบนโลกแตกต่างกันไป บางคนมีความสุข ประสบความสำเร็จในชีวิต บางคนท้อแท้ชีวิตคิดสั้นฆ่าตัวตายลาโลกไปก็มีมาก...
พระพุทธศาสนา สอนให้คนละความยึดมั่นถือมั่น...ในอัตตา..คือตัวตน...การศึกษาแสวงหาความรู้เพื่อนำเอาความรู้มาเป็นเครื่องมือเพื่อใช้ในการพัฒนาตนเองจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง...ผู้เขียนเองอยากบอกว่าการศึกษา Landmark อาจเทียบไม่ได้เลยหากจะเปรียบเทียบกับคำสอนของพระพุทธเจ้า...แต่หากเปิดโอกาสให้ตัวตนที่เราได้สร้างขึ้นนี้ ลองได้รับฟังการแนะนำอย่างปราศจากอคติ ผมว่าได้ประโยชน์มากอยู่เหมือนกันนะขอรับ...ไม่ได้โม้...
5.พระพุทธเจ้าให้คำตอบทั้งหมดแล้ว.....
พระพุทธเจ้าให้คำตอบทั้งหมดแล้ว....ถูกต้องที่สุดครับพระอาจารย์....หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่แหละครับที่ถือว่าตอบโจทย์ทุกอย่างจริงๆ หากคนเราได้ศึกษาเรียนรู้และนำมาประพฤติปฏิบัติกันอย่างจริงจัง (ประเด็นอยู่ที่ว่า ดีชั่วรู้หมด แต่อดไม่ได้ไงละขอรับ)....จะไม่ขอสาธยายในประเด็นนี้นะขอรับ

การที่ผมออกมานั่งเขียน 5 เหตุผลที่ผมยอมไป Landmark ไม่ใช่จะมาอธิบาย หรือมาโต้แย้ง หรือสรรหาเหตุผลมารองรับความชอบธรรมให้กับ Landmark แต่ประการใดนะขอรับ เพราะแรกเริ่มเดิมทีผมก็ไม่อยากไป พอได้ไปก็พึ่งรู้และเข้าใจว่าการศึกษาอย่างนี้ก็มีด้วยครับ...(ป.ล.ไปกับท่าน พม.สุริยา หรือหลวงน้องยุทธครับ ไปด้วยกัน....แต่พักหลังนี้ท่านเหตุผลเริ่มมีเยอะ...หุหุหุ)

สุดท้ายท้ายสุดจริงๆ ....ทั้งหมดทั้งมวลก็ขึ้นอยู่ที่ตัวเราเองนี้แหละขอรับ"อตฺตาหิ  อตฺตโน  นาโถ"....ป.ล....เมื่อเราละตัวตนลงได้ ปล่อยวางลงได้...เราก็จะพับกับความว่าง(สุข)ครับ...ส่วน "Landmark บอกว่า เมื่อเราละตัวตนลงไม่ได้ ปล่อยว่างไม่ได้ อยู่กับโลกใบเก่า โลกใบเล็กๆๆที่เราสร้างขึ้นเอง เมื่อนั้นโลกใหม่สำหรับเราก็เกิดขึ้นได้ยาก....หากเราอยู่เหนือเหตุผล(กิเลส) ได้ ปล่อยวางได้ เราจะพบกับโลกใบใหม่...เมื่อนั้นเราจะสร้างอะไรก็สร้างได้....หลายคนสร้าง Landmark แล้ว ท่านละ สร้าง Landmark หรือยัง ???? คริๆๆๆๆ (เครื่องมือที่ Landmark มอบให้กับผู้เข้ารับการศึกษามีมากนะขอรับ แต่บอกไม่ได้จริงๆ.......เพราะจบมาก็ยังงง...อยู่....)


สนใจลองเข้าไปหาข้อมูลดูครับ
ttp://www.landmarkworldwide.co.th/about-us/studies-and-articles