วันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ภาษาสร้างโลกได้จริงหรือ....

คนไม่รู้ภาษา คือ คนหมดท่าไม่เอาไหน...???


พิธีบำเพ็ญกุศลอายุวัฒนมงคล ครบ 7 รอบ 84 ปี

      เมื่อวันที่ 31 ตุลาคมที่ผ่านมา มีโอกาสได้ไปร่วมฉันภัตตาหารเพล ในงานบำเพ็ญกุศลอายุวัฒนมงคล ครบ ๗ รอบ ๘๔ ปี พระเดชพระคุณ พระธรรมสุธี (พีร์  สุชาโต) อธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์, นายกสภามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,ที่ปรึกษาเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร
       เหล่าศิษยานุศิษย์ ตลอดจนถึงอุบาสกอุบาสิกาที่เคารพนบนอบนับถือ ในพระเดชพระคุณต่างมาจากทิศทั้งสี่แนนขนัดทั่ววัดมหาธาตุ แสดงออกถึงคุณงามความดีบารมีธรรมของพระเดชพระคุณท่าน...ผู้เสียสละอุทิศตนเพื่อประโยชน์ต่อมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยและพระพุทธศาสนา ขอให้พระเดชพระคุณมีสุขภาพแข็งแรงครับ
     
   ก่อนกลับมีโอกาสได้ขึ้นไปนมัสการพระบรมศารีริกธาตุ ภายในพระมลฑปด้วย เป็นศิริมงคลแท้ๆๆ

เข้าเรื่องเลยแล้วกันนะขอรับ

        หลังภัตตาหารเพล มีโอกาสได้เดินชมบริเวณสถานที่จัดงาน เห็นผู้คนแน่นขนัดเต็มวัดไปหมด...ไม่รู้จะเดินไปทางไหนดีเลยตัดสินใจเดินออกไปบริเวณด้านข้างพระอุโบสถ...บริเวณวิหารคต ซึ่งบริเวณวิหารคตนี้เองมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่จำนวนมาก เห็นแล้วเกิดปิติว่า พระพุทธเกิดจากแรงศรัทธาของบรรพชนคนไทยในอดีต....คนปัจจุบันอย่างเราท่านเป็นการยากที่จะสร้างได้...
     เดินดูโดยรอบวิหารคตแล้วพระพุทธรูป....ปูนปั้นมีราวๆเป็นร้อยน่าจะได้...นึกๆดูพระพุทธรูปองค์หนึ่งพอๆกับพระประธานในโบสถ์หลายๆวัดได้....
     หลังจากเดินพ้นวิหารคตออกมาด้านนอกก่อนออกสนามหลวง...มีตึกแถวขนาดใหญ่ทำให้ผู้เขียนนึกถึงคำพูดของครูบาอาจารย์ที่ว่า "ตึกนี้ชื่อตึกแดง"  ซึ่งเป็นตึกที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น เพื่อให้เป็นที่เล่าเรียนของพระสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย หลังจากที่ได้โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งมหาธาตุวิทยาลัยขึ้น ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2432 
ประจวบกับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จสวรรคตเมื่อปีพ.ศ.2437 โดยพระราชประเพณีจะต้องสร้างพระเมรุมาศตามพระเกียรติยศขึ้นที่ท้องสนามหลวง ทรงมีพระราชดำริว่า เป็นการสิ้นเปลืองพระราชทรัพย์ในการสร้างสิ่งที่ไม่ได้เป็นถาวรวัตถุ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เป็นผู้อำนวยการสร้างอาคารตึกถาวรวัตถุขึ้น เพื่อเป็นที่อัญเชิญพระบรมศพสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร มาประดิษฐานบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุประทาน เมื่อการบำเพ็ญพระราชกุศลนั้นแล้วได้ถวายอาคารนี้ให้สำหรับมหาธาตุวิทยาลัย
      สมัยที่ผู้เขียนเรียนอยู่ที่มหาจุฬาฯ อาจารย์หลายท่านได้เล่าให้ฟังถึงประวัติของตึกนี้ว่าสมัยก่อนครูบาอาจารย์ใช้ตึกแดงเป็นสถานที่ศึกษาของพระนิสิตมหาจุฬาในยุคแรกๆ
    ในยุคแรกนี้เห็นครูบาอาจารย์เล่าให้ฟังว่า มหาจุฬาฯ ยังไม่รับรองวิทยฐานะ ผู้ที่จบการศึกษาจากมหาจุฬาฯ ถือว่าได้รับปริญญาเถื่อน หลายรูปที่จบการศึกษาจากที่นี่จึงต้องดั้นด้นไปเรียนต่อยังต่างประเทศ...จุดหมายปลายทาง คือ ประเทศอินเดีย
(ภาพพิธีประสาทปริญญาบัตร มจร. ครั้งที่ 1 จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ถวายพัดปริญญาแก่เจ้าประคุณสมเด็จสังฆนายก เพื่อประทานแก่บัณฑิตมหาจุฬารุ่นแรก)
       นอกจากไม่รับรองวิทยฐานะแล้ว การจัดการศึกษาของมหาวิทยาลัยยังขาดงบประมาณในการบริหารจัดการ ครูบาอาจารย์ยังเคยเล่าให้ฟังอีกว่า ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ของมหาวิทยาลัยได้มาจากการทอดผ้าป่า...เป็นหลัก...ภายหลังกรมศิลปกรได้ทักท้วงถึงกรรมสิทธิ์ในตึกแดง(เรื่องยาวไปหาข้อมูลดูเองนะขอรับ) ชาวมหาจุฬาได้ใช้ลานอโศกเป็นสถานที่ชุมนุมเรียกร้องความชอบธรรมในตึกแดงแห่งนี้ ประวัติมหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯนั้นมีความเป็นมาอย่างน่าสนใจเป็นอย่างมาก "เพราะไม่ง่ายเลยกว่าจะมีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย" ในวันนี้ได้ 
    
        ผู้เขียนเคยฟังหลายๆคนพูดว่า  มหาจุฬาฯใครเดินผ่านก็จบ...หลายคนบอกว่าเรียนมหาจุฬาเรียนที่อื่นดีกว่า...แต่ผู้เขียนอยากบอกว่านอกจากมหาจุฬาจะเป็นมหาวิทยาลัยของคณะสงฆ์ไทยแล้ว ผู้จบจากมหาจุฬาส่วนใหญ่ไม่ตกต่ำ และออกไปบำเพ็ญประโยชน์ต่อประเทศชาติพระศาสนาล้วนจบมหาจุฬาแทบทั้งนั้น เพราะเราชาวมหาจุฬาเราถือว่ามีเลือดสีชมพู นิสิตมหาจุฬาฯ ทุกรูปล้วนอุทิศตนเพื่อพระพุทศาสนา ถึงแม้ว่าปัจจุบันกาลเวลาเปลี่ยนไป แต่จิตใจและอุดมการณ์มิเคยเปลี่ยน (ไม่มีมหาจุฬาฯไม่มีเราในวันนี้) 
          หลังจากเดินผ่านตึกแดงได้ระลึกนึกถึงคำกล่าวขานของตำนานตึกนี้ได้ไม่นาน ก็ก้าวขาผ่านประตูรั่ว เห็นรถวิ่งขวักไขว่ไปมา เบื้องหน้าคือสนามหลวง มองไปมองมามองหารถกลับวัด ทันใดเจอแท็กซี่ว่างวิ่งมาพอดี  ผู้เขียนเจรจากับสารถี โยมไปวัดทองธรรมชาติ คลองสาน โยมบอก  นิมนต์หลวงพี่  นั่งรถได้สักพักยังไม่ทันหายเหนื่อยโยมทักว่า "หลวงพี่ บวชมานานหรือยังมาทำไรที่สนนามหลวง" ผู้เขียนตอบ "บวชมาก็นานหลายปีเหมือนกันโยม" โยมถามต่อว่า "บวชมาเรียนจบอะไรแล้ว" ตอบโยมไปว่า บาลีก็เรียนอยู่ ทางโลกก็เรียน "แล้วจะเรียนต่อไหมตามที่ได้ตั้งใจไว้" ตอบโยมว่า "ก็กำลังจะเรียนต่อ แต่มีปัญหาที่ภาษาไม่แข็งแรง" โยมตอบว่า "คนไม่รู้ภาษา คือคนหมดท่าไม่เอาไหน ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ" ผู้เขียนถึงกับนั่งอึ้งไปสักพัก แล้วก็เลยถามกลับไปอีกว่า ยังไงนะโยมช่วยอธิบายขยายความด้วย โยมตอบว่า "หลวงพี่ คนเราต้องรู้ภาษา คนไม่รู้ภาษา คือคนหมดท่า ไม่เข้าท่า ไม่เอาไหน ทำอะไรก็ไม่รู้เรื่องไม่เอาไหน" ผู้เขียนนึกในใจ มันคนละภาษาหรือป่าวโยม 
       โยมเหมือนจะเดาใจออก  โยมพูดต่อว่า "หลวงพี่  คนเราจะทำอะไรให้เข้าท่า และสำเร็จ ต้องรู้ภาษา หลวงพี่จะเรียนอะไรก็ต้องรู้ภาษา เก่งภาษา หลวงพี่จึงจะประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษ หรือ ภาษาบาลี รูปที่เรียนบาลีจบประโยค ๙ เป็นพระที่รู้ภาษา เป็นพระที่มีท่า มีเชิง พูดอะไรใครเขาก็เชื่อ พูดมีน้ำหนัก ภาษาอังกฤษ ก็เหมือนกัน คนที่พูดไม่ได้ เหตุเพราะไม่รู้ภาษา คือคนไม่เข้าท่า ไม่เอาไหน"
       นึกๆไปก็คงจะจริงของโยมเขา  มาถึงวันนี้ จุดนี้ ตรงนี้ ผู้เขียนเห็นว่า อย่าปล่อยให้ภาษา (อังกฤษ) มาเป็นอุปสรรคต่อการศึกษา หรือการใช้ชีวิตอีกต่อไปเลย ยิ่งใกล้ถึงช่วงที่ชีวิตต้องถึงจุดเปลี่ยนในอีกไม่ช้านี้ ยิ่งต้องมีความเพียรพยายาม มุมานะ พากเพียรบากบั่น ให้มาก และผู้เขียนก็ต้องขออุโมทนา กับ Dr.Dhirawit P.Natthagarn,ท่านต๋อง ที่จุดไฟในตัวของข้าพเจ้าให้มีแรงฮึดสู้กับภาษาอังกษฤ อีกครั้ง.....เพราะคนไม่รู้ภาษา คือคนหมดท่าไม่เอาไหน.....
       ป.ล.อยากให้ทุกท่านรักในการเรียน และพากเพียรจนกว่าจะประสบความสำเร็จ..โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ และผู้เขียนเองจะใช้เวลาต่อจากนี้ไปทุ่มเทให้กับภาษาอังกฤษ...........อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน....แล้วเจอกัน...JAWAHARLALNEHRU UNIVERSITY , NEW DELHI , INDIA  
          (หากเราคิดอยากจะทำอะไร...ขอให้เรากล้าที่จะประกาศว่าจะทำมัน...แล้วลงมือทำด้วยการมีสัจจะต่อคำพูดที่เราประกาศ...รับผิดชอบต่อคำพูด.....ทุกอย่างที่เราประกาศ-พูด-ลงมือทำ-ผลลัพธ์ หรือ ความแตกต่างจะเกิดขึ้น นี่แหละที่ว่าภาษาสร้างโลก...ขอแค่กล้า....ไม่มีอะไรที่เราจะทำไม่ได้ในโลกนี้...ครับ)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น